ยืมจมูกคนอื่นหายใจ หมายถึงอะไร ?

ยืมจมูกคนอื่นหายใจ หมายถึงอะไร ? สำนวน สุภาษิตไทยที่กล่าวว่า  อย่าเอาจมูกคนอื่นหายใจ  นั้นหมายถึง (สำ) ก. อาศัยผู้อื่นมักไม่สะดวก, พึ่งจมูกคนอื่นหายใจ หรือ เอาจมูกผู้อื่นมาหายใจ ก็ว่า. อ้างอิงจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ การที่จะทำสิ่งต่างๆโดยจะต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด โดยการทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองนั้นจะช่วยให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างถูกใจและไม่จำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ซึ่งถ้าเรามัวแต่รอให้คนอื่นมาช่วยเหลือในทุก ๆเรื่องนั้นเราจะทำอะไรเองไม่เป็นในยามที่ไม่มีคนช่วยเหลือ และก็จะไม่สามารถทำงานต่างให้สำเร็จได้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องทำเองในทุกขั้นตอน แต่หมายถึงว่าจะต้องทำให้ได้ ทำให้เป็นในทุกกระบวนงานเช่นการทำขนม เราจะต้องสามารถทำได้ตั้งแต่การซื้อวัตถุดิบมาทำ จนถึงขั้นเป็นขนม ส่วนถ้าจะทำเพื่อขายนั้นจำเป็นจะต้องจ้างคนงานมาช่วยงานนั้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่เราจะต้องสามารถทำเองได้ทุกขั้นตอน เข้าใจวิธีการทำอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ถ้าแม้ว่าวันใดวันหนึ่งต้องเปลี่ยนลูกจ้างไป เราก็สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่ติดขัด
ที่มาของสํานวนดังกล่าวนั้น โดยปกติแล้วคนเราต้องใช้จมูกของตัวเองในการหายใจ แต่เราไม่มีจมูกเป็นของตัวเอง จะต้องไปหยิบยืมจากคนอื่นมาหายใจ ซึ่งทำให้เราต้องพึ่งพาคนคนั้นไปตลอดชีวิตหากไม่มีคนให้ยืมจมูกในการหายใจเราก็ตายนั่นเอง เช่นกันกับการใช้ชีวิตที่จะต้องรอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ช่วยเหลือเราอีกต่อไป เราก็จะอยู่ไม่ได้

• ยืม หมายถึง ก. ขอสิ่งของ เงิน เป็นต้น มาใช้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วคืนให้หรือใช้คืน, นำของของผู้อื่นมาใช้เป็นของตน เช่น ยืมคำในภาษาบาลีมาใช้ ยืมวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้ ยืมความคิด
• จมูก หมายถึง [จะหฺมูก] น. อวัยวะส่วนหนึ่งที่ยื่นออกมา อยู่เหนือปาก มีรู ๒ รู สำหรับดมกลิ่นและหายใจเข้าหายใจออก, (ปาก) ตมูก ก็ว่า, ราชาศัพท์ว่า พระนาสิก พระนาสา โดยปริยายเรียกสิ่งที่ยื่นออกมาคล้ายจมูก, เรียกสิ่งที่เจาะเป็นรู ๒ รูเพื่อร้อยเชือกเป็นต้น เช่น จมูกซุง. (ข.จฺรมุะ).
• คน หมายถึง น. มนุษย์.
• อื่น หมายถึง ว. นอกออกไป, ต่างออกไป.
• หายใจ หมายถึง ก. กิริยาที่ทำให้อากาศเข้าสู่และออกจากปอด, ยังมีชีวิตอยู่ เช่น คนเจ็บยังมีชีวิตอยู่

ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ภาษาอังกฤษ

สำนวนไทยดังกล่าวมีความหมาย ใกล้เคียงกันกับสำนวนในภาษาอังกฤษที่กล่าวว่า “stand on one’s own feet” ซึ่งแปลว่า “ยืนอยู่บนขาของตัวเอง” ซึ่งหมายถึง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่พึ่งพาคนอื่นนั่นเอง โดยสำนวนดังกล่าวมีความหมายใกล้เคียงกันกับสำนวนไทยที่กล่าวว่า ยืมจมูกคนอื่นหายใจ นั่นเอง

ตัวอย่างการใช้งานสำนวนไทยที่กล่าวว่า ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

1. เวลาครูสั่งให้เขียนเรียงความ ประยุทธมักจะขอช่วยให้ ประวิตรผู้เป็นพี่ชายเขียนให้เป็นประจำ แต่คราวนี้พี่ชายไม่ว่างไม่สามารถช่วยประยุทธได้ ทำให้เขาเขียนเรียงความไม่เสร็จ และโดนครูหักคะแนน
2. แล้วผมก็รู้สึกตาสว่างขึ้นมา การที่เราพึ่งพาคนอื่นโดยที่เราไม่สามารถทำสิ่งนั้นด้วยตัวเองได้เลย มันคือการยืมจมูกคนอื่นหายใจนั่นเอง ถ้าเราไม่ทำ เค้าก็ไม่รอด
3. บิ๊กตู่” เขียนจดหมายจากใจนายกฯ ถึงประชาชนฉบับเดือนตุลาคม “เลิกยืมจมูกคนอื่นหายใจ” ย้ำคนไทยต้องพึ่งพาตนเอง ...
4. พ่อสอนไว้เสมอว่า"จงอย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ เพราะถ้าวันหนึ่งเขาไม่ให้เรายืม เราก็จะตาย ดั่งเช่นคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเที่เคยสอนไว้ว่า "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ"ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"อย่าเป็นผู้หญิงที่มีแค่ความสวย แต่เฝ้าคอยพึ่งรายได้จากสามีเพียงอย่างเดียว เพราะความสวยเปลี่ยนแปลงได้ คิดให้ได้ว่าถ้าเขาไม่อยู่แล้วเราจะเดินต่อได้อย่างไร
5. “เราจะไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ” ฟังชัด ๆ จากปาก ซิโก้ หลังชมเกมการแข่งขัน ระหว่าง อิรัก VS ไต้หวัน.
6. อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ อสังหาไทย วันนี้...วิกฤติแล้ว ผ่อนต่อเดือนนับหมื่นบาท คนจบมาเริ่มทำงาน ซื้อกันไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นตลาดใหญ่สุด ส่งผลให้ต้องเริ่มไปพึ่งคนนอกบ้าน” ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
7. “พวกเราจำเป็นต้องคว้าชัยชนะในเกมที่เหลือเพื่อหลีกเลี่ยงการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ตอนนี้เรามีอยู่ 6 คะแนน เราเป็นจ่าฝูง ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญ”.
8. กุญแจ 5 ดอก ของการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร การค้นหาตัวตน ถือเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่มีค่าที่สุด เพราะไม่มีใครที่อยากประสบความสำเร็จ โดยการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
9. ความสำเร็จอย่างมั่นคงต้องมาจากตัวเรา สมองเรา ใจของเรา (วินัยของเรา) ไม่ใช่มาจากการยืมจมูกคนอื่นหายใจ!! การพึ่งพิงข้อมูลภายในและข้อมูลทั่วไป
10. เมื่อเราต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจตลอดเวลา ธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับคนอื่น วันหนึ่งเค้าจะบีบเราอย่างไรก็ได้ จัดการเราอย่างไรก็ได้ นี่ไม่ใช่วิธีการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ..นั้นต้องประสบปัญหา

อ้างอิงข้อมูล : พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔