-->

ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด หมายถึง อะไร ?





Laz Flash Sale ลดแรงกว่า 90%
ดีลจำกัดเวลา ให้คุณเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ทุกวัน สินค้าลดราคากับ Flash Sale
Lazada แฟลชเซล จัดเต็มดีลฮิตทุกวัน ช้อปออนไลน์ 24 ชั่วโมง ☆ดีลจำกัดเวลาสุดฮอต ☆ลดราคาแรง ☆สินค้าหลากหลาย

ช้อปเลย





ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด หมายถึง อะไร ?



ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด หมายถึง อะไร ? สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง (สำ) ว. มีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์. อ้างอิงจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔  

  • ความรู้ หมายถึง  น. สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน
  • ท่วม หมายถึง  ก. ไหลหลาก บ่า หรือเอ่อท้นจนลบพื้นที่หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น นํ้าท่วมทุ่ง นํ้าท่วมฝั่ง, ซาบซึมไปทั่ว เช่น เหงื่อท่วมตัว, โดยปริยายหมายถึงลักษณะที่คล้ายคลึงเช่นนั้น เช่น หนี้ท่วมตัว ความรู้ท่วมหัว.
  • หัว หมายถึง น. ส่วนบนสุดของร่างกายของคนหรือสัตว์
  • เอาตัวรอด หมายถึง น. ส่วนบนสุดของร่างกายของคนหรือสัตว์

ความรู้ท่วมหัว ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ไม่รู้จริง หรือรู้หรือฉลาดในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นความรู้ที่ไร้สาระ สำนวนนี้ถ้าถูกใช้เปรียบเทียบใคร คนคนนั้นถือว่าแย่ในสายตาของคนที่พูดสำนวนนี้ นั่นทำให้คนที่ถูกกล่าวถึงว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนั้น จะถูกมองว่าเป็นคนโง่ในสายตาของคนอื่น ๆได้

สำนวน “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” นั้นเป็นสำนวนในเชิงดูถูก เหยีดหยามผู้ถูกกล่าวถึง ซึ่งอาจจะเป็นความจริง หรือว่าเป็นการใส่ร้ายก็ได้ ดังนั้นเราไม่ควรตัดสินใจใครจากคำพูดของคนอื่น จนกว่าเราจะได้รับรู้ด้วยตนเอง แน่นอนคนเราไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง และเชี่ยวชาญไปกันทุกเรื่อง และอาจจะมีพลาดพลั้งกันได้เสมอ โดยอาจจะเกิดจากความเข้าใจผิด หรือ การสื่อสารที่ผิดพลาดก็ได้ ดังนั้นสำนวน ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด จึงไม่สมควรที่จะใช้พร่ำเพรื่อ เพราะว่าเป็นสำนวนที่มีถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงสำหรับ คนที่โดนว่ากล่าวด้วยสำนวนดังกล่าวนั่นเอง

สำนวน “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” นั้นตรงกับสำนวนในภาษาอังกฤษว่า “Unable to survive though with thorough knowledge.” ซึ่งแปลว่า “ไม่สามารถอยู่รอดได้แม้ว่าจะมีความรู้อย่างละเอียด” ซึ่งเป็นสำนวนที่มีความหมายที่คล้ายกัน ใกล้เคียงกัน สามารถเทียบเคียงกันได้

ตัวอย่างการใช้งาน สำนวน “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”


  1. ทำไมความรู้ท้วมหัวถึงเอาตัวไม่รอด คนพวกนี้ขนาดอะไร?
  2. ผมสงสัยว่าคนที่มีความรู้อยู่มากมายในสาขาที่เรียนจบหรือเรื่องอื่นๆ “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ตามความเข้าใจของผม คนที่มีความรู้มากมายย่อมต้องเป็นคนขยัน พากเพียรในการหาความรู้ใส่ตัว ทั้งทฤษฏี และวิชาการ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการทำงานใช่ไหมครับ  แต่ทำอีท่าไหนถึงเอาตัวไม่รอด ทั้งๆที่มีความขยัน พากเพียรและ ทฤษฏี วิชาการ ประดับอยู่ในหัวอยู่แล้ว เป็นเพราะอะไรครับ แล้วไอ้การเอาตัวไม่รอดเนี่ยหมายถึง การหางานทำไม่ได้ หรือเอาตัวรอดจากเหตุการณ์คับขันไม่ได้หรือเปล่า
  3. “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” เราโดนด่าคำนี้บ่อย เพียงเพราะเราเรียนจบสูง แต่เลือกเส้นทางแม่ค้าเพราะอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัว(แม่)ให้มาก ๆ
  4. นี่เธอ ดูผู้ชายคนนั้นซิ เจ้าของบริษัทใหญ่เลยนะ จบเมืองนอกมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะล้มละลายได้ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดแท้ๆ
  5. นี่เพื่อน แกนี่เรียนมาเสียเวลาเปล่าๆ ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
  6. ประยุทธ ถึงแม้จะมีความรู้สูงแค่ไหนก็ตาม ถ้าความประพฤติไม่ดีแล้วก็เอาตัวไม่รอด เพราะไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย หรือมีความรู้ แต่ไม่ใช้ความรู้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาเรียกว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”
  7. ลูกชายป้าข้างบ้านที่เพิ่งเรียนจบมาจากเมืองนอก มีความรู้มากมายหลายด้าน แต่ทำงานที่ไหนได้ไม่นานก็ถูกเชิญให้ออก ทุกวันนี้จึงต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ แบบนี้แหละที่เรียกว่า “  ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ”
  8. ปัจจุบันนี้ มีข่าวนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าคิดสั้นมากมาย พวกเขาไม่รู้ตัวว่า เป็นโรคซึมเศร้าอยู่ แบบนี้เรียก “  ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด แท้ๆ

นิทานเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเท่าไหร่
มีลูกชายคหบดีต่างเมืองคนหนึ่ง เป็นคนขยันเรียนหนังสือ เรียนที่ไหนก็สอบได้ที่ 1 ตั้งแต่อนุบาล จนจบมหาวิทยาลัยก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1
สอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อต่างประเทศจากบ้านไปหลายปี จนเรียนจบปริญญาจากต่างประเทศ จึงได้มีโอกาสกลับบ้านเกิด

วันที่เดินทางมาถึงขณะที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน เกิดน้ำท่วมหนักจนถนนหนทางถูกตัดขาด รถยนต์ไม่สามารถวิ่งไปจนถึงหมู่บ้านได้ มีแต่บริการเรือเครื่องเท่านั้นที่สามารถไปถึงหมู่บ้านได้
ลูกชายเศรษฐีจึงตกลงจ้างลุงแก่ๆให้ขับเรือพาไปส่งที่บ้านตนเองในราคา 200 บาท
นี่คือบทสนทนาระหว่าลูกชายเศรษฐีกับลุงคนขับเรือ

ลูกเศรษฐี : ลุงๆ ลุงเรียนจบชั้นไหนเนี่ย
ลุงขับเรือ : ลุงจบแค่ ป.4 ไอ้หนู
ลูกเศรษฐี : แล้วลุงใช้คอมพิวเตอร์เป็นไหมล่ะ
ลุงขับเรือ : ไม่เป็นหรอก
ลูกเศรษฐี : งั้นชีวิตลุงก็หายไป 25 % เลยล่ะ รู้ไหม
ลูกเศรษฐี : ลุง แล้วลุงรู้ไหมว่าทำไมตอนนี้เศรษฐกิจโลกถึงตกต่ำ
ลุงขับเรือ : ลุงไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกนะ
ลูกเศรษฐี : ถ้างั้นชีวิตลุงก็เท่ากับหายไปอีก 25% นะ
ลูกเศรษฐี : ผมถามหน่อยว่าลุง พอจะรู้ไหมว่าทำไมราคาข้าวประเทศเรามันถึงถูกลง ๆ
ลุงขับเรือ : อันนี้ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะไอ้หนูเอ้ย
ลูกเศรษฐี : โถ ลุง ถ้าเรื่องนี้ลุงยังไม่รู้นะ ผมว่าชีวิตลุง หายไปรวมๆกันก็ 75% เลยล่ะคราวนี้
ขณะที่เรือวิ่งมาได้ครึ่งทางเกิดลมฝนตกมาอย่างหนัก ซึ่งบริเวณนั้นระดับน้ำก็ลึกมากเสียด้วย ลุงจึงเงยหน้ามาถามลูกชายเศรษฐีว่า...
"ไอ้หนู ว่าแต่เอ็งว่ายน้ำเป็นไหมวะ"
"ผมว่ายน้ำไม่เป็นหรอกลุง ทำไมเหรอ"
"ก็ถ้าเอ็งว่ายน้ำไม่เป็น ชีวิตเอ็งคงได้หาย100%แน่ ๆ ถ้าเรือเกิดล่มขึ้นมา"
สิ้นเสียงพูดคุย ลมฝนกระโชกใหญ่จนมีคลื่นมาพัดเอาเรือเปลี่ยนทิศทางไปชนเข้ากับต้นไม้จนพลิกคว่ำ หงายท้อง ทั้งลุง ทั้งลูกเศรษฐีต่างกระเด็นตกน้ำไปคนละทิศทาง
ลุงคนขับเรือว่ายน้ำเป็น ว่ายมาเกาะต้นไม้รอดตาย จนมีคนมาช่วยไว้ได้
ลูกชายเศรษฐี ว่ายน้ำไม่เป็น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จมหายไปกับสายน้ำนับแต่วันนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อันคนเรามีความรู้มากเป็นสิ่งดี แต่เราก็ควรเรียนรู้สิ่งที่มีความจำเป็นในการมีชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน และเราควรเรียนรู้วิธีการนำความรู้ที่เรามีไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ มากกว่าแค่รู้เอาไว้อวด ไว้ประกาศให้ใคร ๆ ทราบว่าเราก็เรียนมาเท่านั้น"